วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน (Real Elixir Abalone Collagen) มอบรางวัลใหญ่สมมนาคุณให้กับลูกค้าผู้ให้การสนับสนุน ปิดแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน”

เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen) มอบรางวัลใหญ่สมมนาคุณให้กับลูกค้าผู้ให้การสนับสนุน ปิดแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” 

                   บริษัท นูทริชั่นโปรเฟส จำกัด ผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำจำหน่ายอาหารเสริมและเครื่องสำอางแบบครบวงจร โดยมีความมุ่งมั่นพัฒนาและสรรหาผลิตภัณฑ์พร้อมวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ เพื่อลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด อีกทั้งพร้อมที่จะให้บริการที่ดีที่สุดในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อทุก ๆ ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในครั้งนี้ได้ทำการจัดกิจกรรมภายใต้แบรนด์ “เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen)” ในแคมแปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

                  นายคณพล กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่นโปรเฟส จำกัด  เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด รวมไปถึงวิกฤติต่างๆทั่วโลก ทำให้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนไทย รวมไปถึงการหารายได้ในช่องทางต่างๆได้มีการลดลง รวมไปถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทางบริษัทได้เล็งเห็นปัญหาตรงจุดนี้ อีกทั้งแบรนด์ “เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen)” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมียอดขายกว่า 3 ล้านกระปุก จึงทำให้เรามีแนวคิดที่อยากจะช่วยเหลือและตอบแทนสังคม จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน 

                  นอกจากนี้ตัวผลิตภัณฑ์ยังมีความพิเศษเฉพาะตัว คือ “หอยเป๋าฮือ” ที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า “อันดีเนเจอร์คอลลาเจน" ที่ถูกค้นพบว่าเข้าไปมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจน โดยใช้กระบวนการผลิตด้วยอุณหภูมิต่ำและไม่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ใกล้เคียงกับ คอลลาเจนไทพ์ทู ที่ร่างกายสร้างขึ้น ลดอัตราการทำลายหรือเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อ ปรับสมดุลและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายตามธรรมชาติ นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เราให้ความใส่ใจและต้องการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้าของเราให้มากที่สุด

                  กิจกรรมแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ได้เริ่มเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 โดยที่ผู้ร่วมสนุกสามารถร่วมกิจกรรมได้โดยชมวิดีโอโฆษณาเพื่อค้นหารหัสลับและถอดรหัส 5 ตัว ภายในหนังโฆษณา หลังจากนั้นจึงลงทะเบียนและส่งรหัสคำตอบมาที่ Line : @REALELIXIR เพื่อลุ้นรับรางวัลจากทางบริษัท ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีมากมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างมากมาย ทั้งนี้หลังจากที่มีการเปิดตัวแคมเปญและให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมสนุกแล้ว เราจึงได้มีการมอบรางวัลย่อยไปแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เป็นจำนวนกว่า 15 รางวัล

                  และในครั้งนี้ถือเป็นการจัดกิจกรรมปิดแคมเปญที่ได้ทำการจัดกิจกรรมมาแล้วกว่า 3 เดือน โดยในครั้งนี้จะเป็นการประกาศผลรางวัลใหญ่ ให้กับผู้โชคดีนั่นคือรางวัลเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล ทั้งนี้หากมีการตอบรหัสถูกมากว่า 1 ท่านรางวัลก็จะทำการหารออกคนละครึ่ง และหากไม่มีคนตอบถูก งานรางวัลก็จะมอบให้กับสังคมครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

                  การจัดกิจกรรมในครั้งนี้เราคาดหวังว่าทางแบรนด์น่าจะมีการเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 40% จากกิจกรรมทางการตลาดผ่านแคมเปญนี้ รวมไปถึงการสร้างการรับรู้ผ่านทางช่องทางต่างๆอีกด้วยเช่นกัน  

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2565

สัมผัสดินแดนใต้สุดแดนสยาม เที่ยว “เบตง หร่อยแรง แล่งใต้ สไตล์นกแอร์” ตื่นตาตื่นใจทะเลหมอกอัยเยอร์เวง กราบสักการะพระพุทธธรรมกายมงคล ทานอาหารอร่อย ชม Street Art Betong ดอกไม้เมืองหนาว ลอดอุโมงค์ จคม

สัมผัสดินแดนใต้สุดแดนสยาม เที่ยว เบตง หร่อยแรง แล่งใต้ สไตล์นกแอร์” 

ตื่นตาตื่นใจทะเลหมอกอัยเยอร์เวง กราบสักการะพระพุทธธรรมกายมงคล

ทานอาหารอร่อย ชม Street Art Betong ดอกไม้เมืองหนาว ลอดอุโมงค์ จคม.

วันนี้พวกเราได้รับเชิญจากสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) โดยการนำของนายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคม สธทท ให้ร่วมเดินทางในเส้นทาง เบตง หร่อยแรง แล่งใต้ สไตล์นกแอร์” เดินทางท่องเที่ยวสู่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมีบริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ เป็นผู้ดำเนินในการพาเที่ยวในครั้งนี้



พวกเราดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 622 ใช้เวลา ชั่วโมงถึง สนามบินเบตง ังหวัดยะลา ที่มีสโลแกนว่า สวรรค์บนดิน สนามบินเบตง   นับเป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ ลำดับที่ 29 ที่ดีไซน์สวยงามด้วยไม้ไผ่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีขนาดสนามบินกว้าง 30 เมตร ยาว 1,800 เมตร สามารถรองรับเครื่องบินเล็ก 80 ที่นั่ง และรองรับผู้มาใช้บริการได้ 300 คน ต่อ ชั่วโมง เมื่อไปถึงมัคคุเทศก์ท้องถิ่นพร้อมรถตู้ก็มาคอยต้อนรับเราอยู่ก่อนแล้ว หลังเก็บสัมภาระขึ้นรถเรียบร้อย





พอดีได้เวลาเที่ยงไกด์ก็เลยพาพวกเราไปทานอาหารกันที่ร้านอาหารต้าเหยิน (กิตติ) ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อของที่นี่ มื้อนี้เสริฟไก่เบตง ถั่วเจี๋ยน หมูทอดเต้าหู้ยี้ เต้าหู้ยัดไส้ แกงจืดบักซอย ปลานิลสามรส และหมูย่างหมั่นโถว ก็ต้องยอมรับในรสชาติอาหารว่าอร่อยจริงๆ


หลังอิ่มหนำสำราญก็เดินทางไปด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ชมแนวเขตแดนระหว่างอำเภอเบตงกับรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย แวะช้อบปิ้ง Duty Free แล้วมาแอ็คฃั่นถ่ายรูปกับป้าย ใต้สุดแดนสยาม เป็นป้ายกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ที่มีเอกลักษณ์ลายเส้นแผนที่ประเทศไทยสีทองโดดเด่นสลักบนป้ายหินอ่อน รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและไม้ดอกไม้ประดับอันงดงาม เป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว



จากนั้นก็พาไปชมอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาบรมราชินีนาถบนยอดเขา เป็นอาคารไม้ทรงไทยที่มีความงดงามอย่างวิจิตรบรรจงของสถาปัตยกรรมไทย ภายในอาคารเป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุที่ล้ำค่า อาทิ เครื่องปั้นดินเผาศิลปหัตถกรรม ตลอดจนอุตสาหกรรมพื้นบ้านของประชาชน อันสอดคล้องกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกทั้งบริเวณภายนอกตัวอาคารยังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามด้วยดอกไม้ และประติมากรรมปูนปั้นแบบฉบับเฉพาะตามวรรณคดีไทย


ชมอาคารไม้ที่สวยงาม ก็เดินทางไปชมศิลปะบนกำแพง Street Art Betong แลนด์มาร์กใหม่ของเบตง เป็นผลงานที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งนำทีมโดยอาจารย์อํามฤทธิ์ ชูสุวรรณ คณะบดีคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภาพที่เขียนส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชาวเบตง รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่มีอยู่จริงใน อ.เบตง เช่น ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งภาพถูกวาดทั้งหมด 11 จุด ทั้งบนผนัง กำแพง ใต้สะพาน และตัวอาคารหลายจุดรอบเมืองเบตง เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจและได้ถ่ายภาพเซลฟี่เป็นที่ระลึก




หลังชมภาพวาดศิลปะจนพอใจ ก็เดินทางไปที่วัดพุทธาธิวาส หรือวัดเบตง เป็นวัดพุทธขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินสูงในเขตเทศบาลเมืองเบตง เพื่อกราบสักการะองค์พระพุทธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ พร้อมกราบสักการะรอยพระพุทธบาท พระพุทธชินราช หลวงปู่ทวด และพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเจดีย์สีทองอร่าม ที่ก่อสร้างแบบศรีวิชัยประยุกต์ ความสูง 39.9 เมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา ที่ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากเจดีย์สามารถมองเห็นทัศนียภาพของวัดและเมืองเบตงจากมุมสูงอีกมุมหนึ่งได้สวยงามและที่วัดนี้ยังสามารถชมทัศนียภาพเมืองเบตงได้อีกด้วย






กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรเป็นมงคลแล้วก็เดินทางไปชมสนามกีฬากลางหุบเขา เป็นสนามกีฬาที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดในประเทศไทย และมีความพร้อมที่จะรองรับการแข่งขันกีฬาระดับประเทศได้ จากนั้นเข้าที่พัก ณ โรงแรม Grand Landmark Hotel พักผ่อนตามอัศยาศัย





ยามเย็นแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พวกเราก็ออกมารับประทานอาหารค่ำกันที่ร้านอาหารใบหยก ของคุณสุเทพ ยงวิริยกุล ที่มีความเป็นกันเอง อัธยาศัยดี บริการประทับใจ มื้อนี้ก็มีอาหารแสนอร่อยอย่าง ถั่วเจี๋ยน, ปลานิลนึ่งบ๊วย, ยำมะม่วง, ไก่สับ, ซี่โครงเปรี้ยวหวาน, แกงเหลือง และอีกหลายๆ เมนูทั้งอาหารจีน อาหารไทย



หลังทานอาหารอิ่มแล้ว พวกเราก็เล่นชมแสงสียามค่ำคืนของเมืองเบตง ชมหอนาฬิกาเบตง สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ที่ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของเมือง สร้างด้วยหินอ่อนขาวนวลอันเลื่องชื่อจากยะลาที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความแข็งแรง สวยงามและคงทน  ชมตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2467  ตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง สูงประมาณ 320 ซม. ปัจจุบันได้มีการสร้างตู้ไปรษณีย์ขึ้นใหม่ใหญ่กว่าเดิมที่บริเวณศาลาประชาคม ถนนสุขยางค์ มีความสูงประมาณ 9 เมตร เป็นจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เดินลอดอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ซึ่งเป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย สร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร และมีความยาวตลอดอุโมงค์ระยะทางประมาณ 273 เมตร สร้างขึ้นมาก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สัญจรไปมา เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2544 เมื่อเดินลอดมาอีกฝั่งเราจะเห็นรูปปั้นไก่เบตง ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของอำเภอเบตง เราจึงไม่พลาดแอ็คชั่นถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก





เช้าวันใหม่ พระอาทิตย์ยังไม่ทอแสง พวกเราก็ต้องรีบตื่นกันตั้งแต่ 04.00 น. เพื่อเดินทางสู่ SKY WALK อัยเยอร์เวง บนยอดเขาไมโครเวฟ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,038 เมตร ที่มีระเบียงทางเดินที่ยื่นออกไปจากฐานมีความยาวรวม 63 เมตร ส่วนปลายเป็นระเบียงชมวิวพื้นกระจกใสที่สามารถมองทะลุลงไปได้ถึงพื้นเบื้องล่าง เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวงยอดฮิตของเบตง ในช่วงเวลาเช้าจุดชมวิวแห่งนี้จะกลายเป็นสวรรค์บนดินที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพทิรอบทิศทาง เต็มอิ่มกับทะเลหมอกอัยเยอร์เวงอันสวยงามสุดอลังการสัมผัสแสงสีทองผ่องอำไพยามพระอาทิตย์ขึ้น (ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ) นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาบนสกายวอล์คแล้วมองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาฆูนุงซีลีปัต  แหล่งท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มคนชอบเที่ยวผจญภัยแบบเดินป่า  ที่สามารถมากางเต็นท์นอนได้   เขานมสาว  และปาดังเบซาร์  หากมองไปตรงกลางก็จะเป็นป่าฮาลาบาลา ที่มีน้ำตก  บ่อน้ำพุร้อนนากอ   และเป็นจุดที่อาศัยของชาวเผ่าอัสลี หรือชนเผ่าซาไก   และถ้ามองไปทางซ้ายมือจะเห็นบรรยากาศของทะเลสาบเขื่อนบางลางด้วย




หลังอิ่มเอมกับทะเลหมอกจนชุ่มปอด ก็เดินทางไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ ร้านสถานี 32 เป็นอาหารแบบง่ายๆ หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางไปชมความสวยงามของน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เดิมชื่อน้ำตกวังเวง หรืออัยเยอร์เค็ม เพราะเรียกตามชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคมลายูเป็นอานานิคมอังกฤษชื่อ “เข่ง” ชาวบ้านเรียก “ไอเข่ง” “ไอเกง” จนเพี๊ยนเป็น “อัยเยอร์เค็ม” กลายเป็นชื่อน้ำตกกันไปแบบงงๆ ต่อมาในปีมหามงคลครบรอบ 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี พ.ศ. 2542 ทาง อบต.อัยเยอร์เวง จึงได้เข้ามาพัฒนาบุกเบิกเส้นทาง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และได้เปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.เป็นน้ำตกที่อยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ ไหลมาจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร ทำให้มีละอองน้ำลอยตามอากาศ บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เขียวขจี มีศาลาชมวิวที่รูปทรงและสีสันสวยงามเข้ากับบรรยากาศของพื้นที่ ทั้งยัง สำหรับนั่งพักผ่อนชมสายน้ำที่ไหลจากที่สูงลงมาตามโขดหินน้อยใหญ่ และเป็นมุมถ่ายภาพที่สวยงาม





ชุ่มฉ่ำกับสายน้ำตก เราก็เดินทางไปชมสะพานแตปูซู เป็นสะพานแขวนแบบพื้นไม้โดยมีสายสลิงยึดเอาไว้ สร้างข้ามแม่น้ำปัตตานียาวกว่า 100 เมตร เพื่อใช้สัญจรไปมาระหว่างชาวบ้านสองฝั่งแม่น้ำ และยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรักความสามัคคีของคนในชุมชนชาว กม.32 อีกด้วย โดยในอดีตชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำปัตตานีมีความยากลำบากในการเดินทาง ซึ่งในยุคนั้นฃต้องใช้แพไม้ไผ่ในการข้ามไป-มา การขนย้ายผลผลิตการเกษตรหรือคนป่วยก็ ยากลำบาก ท่านอดีตกำนันในสมัยนั้นได้เล็งเห็นถึงความยากลำบากดังกล่าว จึงได้ช่วยกันระดมพลังและเงินสมทบจากชาวบ้านร่วมกับหน่วยงานราชการ ร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างจนสำเร็จได้ในที่สุด และได้มีการตั้งชื่อว่า “สะพานแตปูซู” ตามผู้บุกเบิกนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของตำบลอัยเยอร์เวงที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว





หลังเดินเล่นบนสะพานแชวนแล้ว ก็เดินทางไปยังอุโมงค์ปิยะมิตร ซึ่งในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา (จคม.)  บริเวณทางเข้ามีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ให้ไหว้สักการะขอพร  เดินมาอีกนิดจะเห็นซุ้มประตูพร้อมป้ายชื่อ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีน โดยอุโมงค์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลุมหลบภัยจากการโจมตีทางอากาศ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 ใช้กำลังคน 50 คนขุดเข้าไปในภูเขา และใช้เวลาเพียง 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ มีความยาวประมาณ กิโลเมตร มีทางเข้า-ออก 9 ทางเชื่อมต่อถึงกันหมด ปัจจุบันเหลือ 6 ทาง ภายในมีสถานีวิทยุของ จคม. ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง ห้องพยาบาล ห้องประชุม และห้องอาหาร พร้อมชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพถ่าย และยุทธปัจจัยของโจรจีนคอมมิวนิสต์ในอดีต ที่ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในอดีต และอัศจรรย์กับความใหญ่โตมโหฬารกับต้นไม้พันปี เป็นต้นไทรยักษ์ ที่วัดเส้นรอบวงได้ 60.8 เมตร มีความสูง 40 เมตร ยืนตระหง่านท่ามกลางป่าดงดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ ในอดีตเคยเป็นต้นไม้อำพรางทางเข้าอุโมงค์



ชมอุโมงค์จนเพลิน ก็ได้เวลาทานอาหารกลางวัน  เราจึงแวะทานกันที่ร้านปลานิลสายน้ำไหล (โกวหงิ่ว) หรือครัวลำธาร มื้อนี้เราทานจิ้มจุ่มปลา, ขาหมูซอสเปรี้ยว, กบทอดกระเทียม, ผัดผักน้ำ และปลานึ่งบ๊วย





หลังทานมื้อเที่ยงแล้ว ก็เดินทางไปชมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันที่สวนหมื่นบุปผา หรือสวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง  เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งเดียวในภาคใต้  เนื่องจากเบตงมีสภาพภูมิประเทศที่อยู่สูงจากระดับทะเลปานกลางราว 800 เมตร มีสภาพอากาศที่เหมาะสม อากาศเย็นสบายตลอดปี ระบบน้ำเพียงพอ จึงมีความเหมาะสมกับการปลูกไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิด ท่ามกลางภูเขาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งที่ปลูกเรียงรายเป็นทิวแถว





สดชื่นกับดอกไม้แล้ว ก็ได้เวลาผ่อนคลายที่บ่อน้ำร้อนเบตง เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่พื้นที่ประมาณ ไร่ โดยจะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ทีประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมาย อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 80 องศาเซลเซียส ซึ่งตรงจุดที่มีน้ำเดือดนี้สามารถต้มไข่ไก่ได้จนสุกภายใน 10 นาที ซึ่งแต่ละโซนออกแบบอย่างได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ ทั้งบ่อน้ำร้อนบ่อใหญ่ บ่อแช่น้ำร้อนใหม่ และอาคารธาราบำบัด โดยเชื่อกันว่าน้ำแร่แห่งนี้ สามารถบรรเทารักษาโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ โรคปวดเมื่อย โรคเหน็บชา โรคผิวหนัง เป็นต้น





แช่น้ำร้อนผ่อนคลายแล้วก็ไปทานเสียน หยิ่น ปัน (วุ้นดำหรือเฉาก๊วย) ที่ร้านวุ้นดำ กม.4 บ้านตึก หมู่บ้านจีนฮากกา 100 ปี ซึ่งเป็นต้นตำรับความอร่อยระดับตำนาน เฉาก๊วยที่นี่ใช้วิธีทำแบบดั้งเดิมโบราณ โดยนำหญ้า[A1] เฉาก๊วยมาต้มเคี่ยวด้วยเตาฟืน แล้วเอามาวางให้เย็น จนได้เฉาก๊วยที่มีกลิ่นหอมและมากไปด้วยสรรพคุณทางยา  ที่นี่ก็มี มี้ เก๊า ปัน (ขนมถ้วยเบตง) ให้ลิ้มลอง  จากป้ายร้านว่าเป็นหมู่บ้านจีนฮากกา 100 ปี เราจึงที่จะอดไม่ได้ที่จะไปชมบ้านจีนฮากกาที่มีอายุ 100 ปี เป็นบ้านไม้โบราณ 2 ชั้น ที่ยังมีสภาพอุดมสมบูรณ์ ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ และรูปถ่ายโบราณให้ชม


จากนั้นแวะถ่ายรูปกับป้าย OK Betong ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้มาเยือนเบตง แล้วรับประทานอาหารค่ำ ณ ร้านก้งถง ที่มีอาหารมากมายหลายอย่างทั้ง ใบเหลียงผัดไข่, ยำผักกูด, หมูสามชั้นคั่วพรืกเกลือ, ปลานิลน้ำไหลทอดขมิ้นล น้ำพริกกะปิผักรวมล เคาหยก, ถั่วเจี๋ยน และไก่เบตง



วันรุ่งขึ้นพวกเรารับประทานอาหารเช้ากันที่ ร้านเซ้งติ่มซำ  ที่มีติ่มซำให้เลือกทานมากมายหลายย่าง แล้วเดินทางไปซื้อขนมะของฝากที่ร้านขนมสุมะโน ตำนานความอร่อยคู่เมืองเบตงยาวนานกว่า 70 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เดิมคือร้านซินเฮียง ที่จำหน่ายขนมเปี๊ยะโบราณ ที่เป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและความอร่อยที่ลงตัวในความเป็น “เบตง” ที่คุณปู่เก๋าหม่อ แซ่ตั้ง ได้มีการปรับสูตรพิเศษโดยการนำเปลือกส้มโชกุนที่เป็นผลไม้พื้นเมืองมาใช้แทนพริกไทย เพราะเปลือกส้มมีความเผ็ด ความหอม และดีต่อสุขภาพ และขนมอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นขนมเฉาะของทางร้านและเบตง อาทิ ขนมกลีบบัว ขนมหน้าแตก ขนมถั่วพอง เป็นต้น





ช้อปปิ้งของฝากที่ศูนย์ One Stop Service โรงเรียนอนุบาลเบตง (สุภาพอนุสรณ์)  อาณาจักรของฝากเมืองเบตง  ที่จำหน่ายสินค้าหลายอย่างของ OTOP และสินค้าจากชุมชน เช่น ผ้าปาเต๊ะ ชาก๊กโป๋ว ซินซิงชาสมุนไพรเห็ดหลินจือ น้ำมันชาน ตะกร้า หมี่เหลืองเบตงฯลฯ และยังมีมุมกาแฟไว้บริการ รวมทั้งแหล่งเรียนรู้ส่งเสริมอาชีพ นอกจากนี้ภายนอกอาคารโรงเรียนได้จัดให้มีแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชา ศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยทางครูประจำชั้นจัดให้มีกิจกรรมปลูกผักในตะกร้าพลาสติกสาน เพาะเห็ดนางฟ้า ปลูกผักรอบโรงเรียน นำผลผลิตที่ได้จากการทำเศรษฐกิจพอเพียงมาสนับสนุนเป็นอาหารกลางวันเด็กนักเรียนด้วย จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านเข้ามาร่วมชม ชอป ชิม อุดหนุนสินค้าภายในศูนย์ One Stop Service แห่งนี้ เปิดให้บริการทุกวัน ก่อนกลับแวะถ่ายรูปกับ Street Art  ภาพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

แล้วก็ได้เวลาอำลาเบตง จังหวัดยะลา จากสนามบินเบตงเดินทางกลับกรุงเทพฯ  โดยสายการบิน นกแอร์  เที่ยวบินที่ DD623 โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

นักท่องเที่ยวที่สนใจเที่ยวเบตง จังหวัดยะลา โดยบินตรงจากดอนเมืองสู่เบตง ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถนานจากหาดใหญ่ 4-5 ชั่วโมง ไม่เหนื่อยเดินทาง สามารถเที่ยวได้เต็มที่ เที่ยวเต็มอิ่มตามโปรแกรมนี้ ก็สามารถติดต่อได้ที่สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์ โทร. 081-251-2207085-065-8144064-232-2878. 062-669-6441


"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"      ERGO แบรนด์ประกันภัยชั้นนำจากเยอรมัน...