วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกับ สวพส. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรการประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดล ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์

มูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกับ สวพส. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรการประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดล

ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์

“The Application of the Royal Project Sustainable Highland Development Model in an Unsettled and Unpredictable VUCA World”



            พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดลในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์ ณ ห้องประชุม ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ชนกาธิเบศรดำริ อ.เมือง จ.เชียงใหม่



           การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ เป็นความร่วมมือของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. พร้อมด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) ซึ่งมุ่งกลุ่มเรียนรู้จากนานาชาติ  โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม 2566 ในรูปแบบการบรรยาย อภิปราย และการศึกษาดูงานในพื้นที่ปฏิบัติงานของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการแม่แฮ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงห้วยเป้า อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่



           ศ.เกียรติคุณ ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ กรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวงและประธานคณะทำงานวิจัยมูลนิธิโครงการหลวง กล่าวว่า จุดประสงค์การจัดหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติ  เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โครงการหลวงระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติในการนำไปประยุกต์ใช้ โดยกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ เป็น 1 ใน 5 หลักสูตร ที่โครงการหลวงจัดทำขึ้นเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สั่งสมมา พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ทั้งจากนักวิจัย นักส่งเสริมในสาขาต่างๆ ของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ร่วมกับผู้เข้าร่วมอบรมจากประเทศไทย ภูฏาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มาเลเซีย ศรีลังกา และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล



            นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) กล่าวว่า การจัดหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาพื้นที่สูงโดยถ่ายทอดตัวอย่างความสำเร็จทั้งจากเกษตรกรในพื้นที่ ผู้นำชุมชน นักวิจัย นักพัฒนาชุมชน ที่ดำเนินงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเราเรียกว่า โครงการหลวงโมเดล และทางองค์การสหประชาชาติได้นำแนวทางของโครงการหลวงโมเดล เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้กับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ต่าง ๆ ในแนวทางการสืบสาน รักษา และต่อยอด ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง จนสามารถพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน ทำให้ประชาชนบนพื้นที่สูงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามลำดับ การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ยังมุ่งหวังให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อเป็นรูปแบบการปฏิบัติงานที่ดี (Best Practice) รองรับการเปลี่ยนแปลงและความคลุมเครือ จากสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาที่ทุกคนจะต้องร่วมกันระดมความคิด เพื่อเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกวูก้า ( VUCA) เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบและบทเรียนในการพัฒนาพื้นที่สูงตามแบบโครงการหลวง (Royal Project Model) สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs)ต่อไป โดยการอบรมมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากนานาชาติ อาทิ Bhutan, Lao PDR, Malaysia, Myanmar, Nepal, Sri Lanka, และกรณีศึกษาของ UNODC Myanmar



       รวมทั้ง การจัดหลักสูตรอบรมในครั้งนี้ มีตัวแทนจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ อำเภอ แม่วาง จ.เชียงใหม่, ตัวแทนจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก, เกษตรกรผู้นำศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยโป่ง ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง ตัวแทนจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น มาเล่าประสบการณ์ของการพลิกฟื้นพื้นที่สูงจากระบบเกษตรเดิมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม มาสู่ระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงจากการทำไร่หมุนเวียน มาเป็นการปลูกพืชเขตหนาวที่สร้างอาชีพบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการส่งเสริมพัฒนาชุมชนคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน 


วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

งาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING

การรวมตัวของเหล่า avengers จังหวัดขอนแก่น ที่จะมารังสรรค์มื้อพิเศษของคุณ

ในสไตล์ Casual Fine Dining 

ในงาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING 

วันที่ 23-27 สิงหาคม 2566 ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น

         การรวมตัวของเหล่า avengers จังหวัดขอนแก่น อย่าง เชฟจิ๊บ/เชฟไพศาล จากร้านแก่น Neo Isan Casual Fine Dining พ่อสวาท อุปฮาด ปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญเกษตรกรอินทรีย์ และการหมักดองพื้นบ้าน เจ้าของแบรนด์ “คูน” อำเภอน้ำพอง CHUPOT: ศิลปิน craft แนว Nerikomi นำเสนองานออกแบบภาชนะ พิมพ์เผาขึ้นรูปที่มีความเป็นอีสานมีการใช้ลายผ้าขาวม้าในการออกแบบภาชนะ สำหรับอีเวนท์พิเศษ วงดนตรีอีสานแนวใหม่ภายใต้ชื่อ  “หมาเก้าหาง” I•S•A•N  P•O•W•E•R  นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของ Isan Gastronomy ที่ดึงเอา elements ความเป็นอีสานต่างๆ มาไว้ที่งาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING วันที่ 23-27 สิงหาคม 2566 ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น 

        ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรม Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING 

1. แชร์โพส กิจกรรม Isan Food Tasting บน Facebook Page “เที่ยวอีสาน.com” พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากมาทานมื้อสุดพิเศษนี้กับเรา พร้อมติด #อีสานไปไสกะแซ่บ

2. แคปหน้าจอโพสต์ของคุณ มาคอมเมนต์ลงใต้โพสต์กิจกรรมบน Facebook page ของ เที่ยวอีสาน.com https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02iyv8uaCyadKgD3ZTpTwg6w8MaPYXJtvqiefooV4vYFYssiAoJh6hHztbF4TXJiL4l&id=100057172071683&mibextid=DcJ9fc

3. เหตุผลใครโดนใจกรรมการมากที่สุด ได้รับสิทธิ์เป็น 1 ในผู้โชคดีที่ได้สัมผัสประสบการณ์มื้ออาหารสุด Exclusive ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 23 – 27 สิงหาคม 2566

ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม  – 15 สิงหาคม 2566 นี้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tourismthailand.org/thailandsoftpower

#Thailandsoftpower

#อีสานไปไสกะแซ่บ

#IsanFoodTasting

#ขอนแก่น

ททท. ร่วมกับบริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด จับมือพันธมิตร จัดงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส ภายใต้แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์”

ททท. ร่วมกับบริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด จับมือพันธมิตร 

จัดงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส ภายใต้แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์”


       นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "Tha Tien Fest: ท่าเตียนเฟส" ภายใต้ แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์” พร้อมเยี่ยมชมบูธจัดแสดงวัฒนธรรมด้านอาหารและสินค้าชุมชน รวมไปถึงการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากขยะในแหล่งท่องเที่ยว ณ ลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง มิวเซียมสยาม และชุมชนท่าเตียน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566


        นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ในปี 2566 ททท. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับโมเดล BCG โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์อันทรงคุณค่ามีความหมาย (Meaningful Travel) และมุ่งสู่ความยั่งยืนให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น พร้อมนำนโยบายวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ Soft Power ในเรื่องของ Food อาหารท้องถิ่น และ Festival การจัดงานเทศกาล มาผนวกรวมกัน โดยจับมือกับพันธมิตร อาทิ Greatter Good Trawell WISHULADA GoGreen booking และ Muvmi ร่วมค้นหาสืบสานอัตลักษณ์ชุมชนท่าเตียน ผ่านการกระบวนการพัฒนาสร้างตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว (Destination Branding) และจัดกิจกรรม Showcase ภายใต้งาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส เพื่อเป็นต้นแบบในการสืบค้นอัตลักษณ์ และหาความเห็นไปได้ในการสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เชื่อมโยงสู่การพัฒนาบริบทพื้นที่ต้นแบบสู่แหล่งท่องเที่ยว พร้อมสร้างความตระหนักด้านการสร้างตราสินค้าแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย สร้างและรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมของแหล่งท่องเที่ยวให้คงอยู่


        โครงการจึงได้เลือกชุนชนท่าเตียนเป็นพื้นที่ในการศึกษาและจัดงาน ซึ่งเป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ทางภูมิทัศน์ วัฒนธรรม โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ประกอบกับพื้นที่เป็นย่านชุมชนเมืองเก่าแก่ในเขตพระนคร ใกล้กับแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จึงเป็นโอกาสสำคัญในการศึกษาพัฒนาให้มีความโดดเด่นทางการสื่อสาร เพื่อนำมาส่งเสริมและต่อยอดทางการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เดินทางมาเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์ นำเสนอผ่าน 3 แนวคิดสำคัญ ด้วยคำว่า "คิดถึง สืบสาน และเสน่ห์" ประกอบด้วย "คิดถึง" หมายถึงการสะท้อนวัฒนธรรมและชีวิตดั้งเดิมที่หาได้ยาก ชวนให้คิดถึงวันวานของย่านเศรษฐกิจเก่าแก่ "สืบสาน" หมายถึงความงดงามของวัฒนธรรม วิถีชีวิต การสืบสานเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และ "เสน่ห์" หมายถึงความผสมผสานที่แตกต่างด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว สามารถสะท้อนถึงเสน่ห์กลิ่นอายความเป็นไทย จีน ญวน มอญ และตะวันตก ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวจึงถูกหล่อหลอมเป็นความหลากหลายที่ลงตัว ด้วยการผสมผสานของพหุวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนแนวคิด ค่านิยม และศิลปะที่มีอยู่ ในทุกจุดของย่านชุมชนท่าเตียน


        โดยผู้เข้ามาร่วมงานจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อย่างใกล้ชิด ด้วยกิจกรรม Tha Tien Fest Grand Opening Event เปิดตัวตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนท่าเตียน และ Tha Tien Exhibition ผ่านการนำเสนอเรื่องราวชุมชนด้วยการเล่าเรื่องผ่านรูปภาพ บูธจัดแสดงวัฒธรรมด้านอาหารและสินค้าของชุมชน      Tha Tien Fest - Food & Shop จำนวนมากกว่า 20 ร้านค้า ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จากการศึกษา Brand Identity อัตลักษณ์ของชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง


          นอกจากนี้ ภายในงานมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ โดยออกแบบและสร้างสรรค์เส้นทางการท่องเที่ยว Low Carbon Walking Route จำนวน 3 เส้นทาง คือ Cultural walking route, Foodie walking route และ Mutelu walking route

พร้อมกันนี้ได้สร้างสรรค์และจัดแสดงผลงานศิลปะจากขยะในแหล่งท่องเที่ยว (Trash Art Installation) ภายใต้แนวคิด Tha Tien Royal Tile Cladding Bench Installation Art หรือ กาบกระเบื้องแห่งรากฐานท่าเตียน ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลท์สำคัญภายในงาน โดยสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากวัสดุรีไซเคิลที่มาจากขยะในชุมชนโดยแบรนด์ WISHULADA ศิลปินผู้เปลี่ยนขยะเป็นงานศิลป์ เพื่อเป็นการสื่อสารสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับ     การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าและมีความหมาย ในการร่วมกันขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ นำไปสู่ความยั่งยืนในทุกมิติของการพัฒนา


       ทั้งนี้ ททท. คาดว่า การสร้างสรรค์อัตลักษณ์ชุมชนผ่านการสื่อสารตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว ด้วยการจัดงาน "Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส" จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกิดการเดินทางท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และสร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงของการจัดงานได้เป็นอย่างดี



        ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2566 เวลา 15.00 - 18.00 น. ณ ลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง มิวเซียมสยาม และชุมชนท่าเตียน กรุงเทพมหานคร โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.thatienfest.com และ Facebook Page : ThaTienFest 



วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

Jim Thompson x GOH M เปิดคอลเลกชันสุดเซอร์ไพรส์

Jim Thompson x GOH M เปิดคอลเลกชันสุดเซอร์ไพรส์ 

ผลงานคอลแลบ “โก๋เอ็ม” ครีเอตลวดลายสุดยูนีคที่ผสานโลกแห่งป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต และกราฟฟิตี้ เข้ากับแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ได้อย่างน่าตื่นเต้น

สนุกสนานไปกับไอเทมสไตล์สตรีทและพาเลตสีอันโดดเด่นจากคอลเลกชันสุดท้ายของแคมเปญ ARTISTS IN RESIDENCE จากจิม ทอมป์สัน

         จิม ทอมป์สัน แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของเมืองไทย เดินหน้าสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้วงการแฟชั่นอีกครั้งกับการเปิดตัว JIM THOMPSON x GOH M คอลเลกชันสุดพิเศษลำดับสุดท้ายของแคมเปญ ARTISTS IN RESIDENCE สุดสร้างสรรค์ที่ดึง 3 ศิลปินไทยมากความสามารถมาร่วมนำเสนอเอกลักษณ์และถ่ายทอดศิลปะของตนผ่านคอลเลกชันสุดยูนีคในปี 2566

        คอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่สายแฟชั่นด้วยการเบลนด์ป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ เข้ากับความสวยงามประณีตในทุกดีเทลของผลิตภัณฑ์จาก จิม ทอมป์สัน การคอลแลบกับอาร์ติสต์กราฟฟิตี้ชื่อดังอย่าง “โก๋เอ็ม” ถือเป็นการรังสรรค์โลกแฟชั่นใบใหม่ที่แปลกตาด้วยพาเลตสีที่สดใสจัดจ้าน พร้อมลวดลายสุดไอคอนิกที่มีเอลิเมนต์แห่งความสนุกสนานอย่างเต็มเปี่ยม

        จิม ทอมป์สัน ริเริ่มโปรเจ็กต์ ARTISTS IN RESIDENCE ด้วยเป้าหมายในการปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ที่สดใหม่มาสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ด้วยการดึง 3 ศิลปินไทยมากพรสวรรค์ที่เชี่ยวชาญศิลปะในสาขาแตกต่างกันมาร่วมครีเอตเอ็กซ์คลูซีฟคอลเลกชัน เพื่อเติมแต่งสีสันและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้แก่โลกแฟชั่น นอกจากนี้ ยังถือเป็นการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าสายอาร์ตและคนรุ่นใหม่ ผ่านสไตล์ที่ฉีกออกจากภาพจำแบบเดิมๆ 

          นันท์นภัส เวโรจนวัฒน์ ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า "ARTISTS IN RESIDENCE เป็นโปรเจ็กต์ที่ได้การตอบรับอย่างอบอุ่น ต้องขอบคุณศิลปินไทยทั้งสามคนที่นำไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นมาร่วมสร้างคอลเลกชันแสนพิเศษกับเราในปีนี้ สำหรับคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M เราอยากชวนสายแฟชั่นมาเปิดประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและแปลกใหม่กับไอเทมที่เติมความสนุกให้ทุกลุค"

        ด้าน โก๋เอ็ม - กิตติพงษ์ คำศาสตร์ กล่าวถึงผลงานการสร้างสรรค์ของเขาว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาคอลแลบกับจิม ทอมป์สันในการสร้างคอลเลกชันสุดพิเศษในครั้งนี้ ดีใจที่สไตล์ศิลปะร่วมสมัยของผมสามารถเบลนด์เข้ากับกลิ่นอายความเป็นจิม ทอมป์สัน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ งานของผมกับแบรนด์จิม ทอมป์สันเหมือนจะเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน แต่เราดึงจุดเด่นของกันและกันออกมาได้อย่างสนุกสนานและกลมกล่อมลงตัว"

      ลายเซ็นของ โก๋เอ็ม ได้รับการถ่ายทอดผ่านคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M โดดเด่นด้วยลายปรินต์ที่อินสไปร์มาจากป๊อปอาร์ต ผสมผสานเอลิเมนต์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างดอกไม้ ผลไม้ และช้าง คอลเลกชันนี้หยิบเอาแรงบันดาลใจจากผลไม้ไทยอย่างมังคุดและส้ม อีกทั้งยังมีช้างที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยมาเป็นอีกหนึ่งลวดลายหลัก รังสรรค์เป็นพาเลตสีม่วง สีส้ม และสีเขียวที่แมตช์กันอย่างลงตัว สร้างแพทเทิร์นที่สวยสะดุดตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

         คอลเลกชันนี้ยังนำเสนอลายปรินต์และลายเส้นแบบกราฟฟิตี้อันโดดเด่นของ โก๋เอ็ม ที่ผสมผสานระหว่างป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ และความเป็นจิม ทอมป์สัน เน้นการใช้ลายเส้นและเฉดสีพาสเทลสดใสที่สร้างความแปลกใหม่ พร้อมด้วยลวดลายไทย ๆ อย่างส้ม มังคุด และช้าง เสริมให้คอลเลกชันนี้มีเอกลักษณ์และสวยงามน่าหลงใหล ทุกไอเทมเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น คอตตอน ผ้าไหม และลินิน พร้อมไอเทมหลากหลายสไตล์สำหรับทั้งชายและหญิง สำหรับผู้หญิง อาจเลือกเป็นเดรสโอเวอร์ไซส์ เสื้อผ้าไหมแขนกุด เสื้อยืดคอตตอน และกางเกงฟิชเชอร์แมนผ้าไหม ส่วนผู้ชายสามารถเลือกสวมใส่ไอเทม Must-have เช่น เสื้อฮาวายผ้าไหม เสื้อยืดคอตตอนโอเวอร์ไซส์ รวมถึงกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดผ้าลินิน

         ร่วมเปิดประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นไปกับผลงานคอลแลบสุดเซอร์ไพรส์ระหว่างจิม ทอมป์สัน และโก๋เอ็ม ที่ซึ่งโลกของป็อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ และแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ มาบรรจบกันอย่างลงตัว 

ช้อปคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M ได้ที่สโตร์ จิม ทอมป์สัน ทุกสาขา




ททท. จับมือ สดร. เปิดมิติใหม่ของการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ปักหมุด18 โลเคชั่นเช็คลิสต์ เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด ในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2

ททท. จับมือ สดร. เปิดมิติใหม่ของการท่องเที่ยวยามค่ำคืน 

ปักหมุด18 โลเคชั่นเช็คลิสต์ เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด

ในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2

       นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.)  ร่วมกันเปิดตัวโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2 โดยมีนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. และผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. ที่มีพื้นที่อยู่ในโครงการ รวมทั้งแขกผู้มีเดียรติอละสื่มวลชน ร่วมงาน ณ ห้องประชุมจารุวัสตร์ ชั้น 10 อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566

         โครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2 นี้เป็นการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ต่อเนื่อง เผยลิสต์ 18 พื้นที่ดูดาวแห่งใหม่ทั่วประเทศ พร้อมมอบโล่ประกาศแก่พื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย เพื่อปลุกกระแสการเดินทางมิติใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสความงดงามของธรรมชาติยามค่ำคืน

           นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า โครงการ “AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2” เป็นโครงการส่งเสริมการตลาดต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ททท. และ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. มุ่งสนับสนุนรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์ (Dark Sky Tourism) ให้เป็นหนึ่งในสินค้าการท่องเที่ยวที่สามารถส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวมิติใหม่ สร้างความหมายให้การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยมีคุณค่า แตกต่าง และน่าประทับใจมากกว่าที่เคย ทั้งยังสะท้อนศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวไทยในการนำเสนอกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความสนใจของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม สอดรับกับแนวทางการขับเคลื่อนปีท่องเที่ยวไทย 2566

       ภายใต้โครงการนี้ ททท. จะชวนนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีความสนใจพิเศษ ผู้ที่สนใจดาราศาสตร์ ชื่นชอบการดูดาว และนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางออกไปสร้างความสุขท่ามกลางธรรมชาติสัมผัสความสวยงามของท้องฟ้าประเทศไทย เรียนรู้ระบบสุริยจักรวาล ชมปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ครั้งĺสำคัญ เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคา ฝนดาวตก หรือชมความสวยงามของกลุ่มดาวจักรราศีและดวงดาวต่างๆ ที่ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละเดือน นอกจากจะตื่นตาตื่นใจท้องฟ้าในยามค่ำคืน ณ สถานที่ดูดาวทั่วทุกภูมิภาคของไทย ยังสนุกสนานไปกับกิจกรรมสอดแทรกความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ ตลอดจนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงในแต่ละพื้นที่ของจังĺนั้นๆ ด้วย

         ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ห่งชาติ กล่าวว่า สดร. ร่วมกับ ททท. ดำเนินโครงการ Dark Sky in Thailand หรือ เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563  จนกระทั่งในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้จัดพิธีมอบโล่และขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทยขึ้นเป็นปีแรก ภายใต้แคมเปญ “Amazing Dark Sky in Thailand” มีสถานที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียน จำนวน 12 แห่ง ระยะเวลาการขึ้นทะเบียนรวม 3 ปี ถือเป็นพื้นที่นำร่องที่ปลุกกระแสการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์  ใช้เป็นจุดขายการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และเป็นสถานที่ถ่ายภาพสำหรับกลุ่มนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ได้เป็นอย่างดี

           สำหรับเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ อุทยานท้องฟ้ามืด ชุมชนอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล และเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ชานเมือง สถานที่ที่ขึ้นทะเบียนแต่ละประเภทจะต้องมีความมืดของท้องฟ้าที่เหมาะสม มีการบริหารจัดการแสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากแสงรบกวน มีพื้นที่เปิดโล่งสังเกตท้องฟ้าได้โดยรอบ มองเห็นดาวเหนือ และวัตถุท้องฟ้าเด่น ๆ ได้ด้วยตาเปล่า มีบุคลากรในพื้นที่ที่สามารถให้ความรู้ทางดาราศาสตร์เบื้องต้นแก่นักท่องเที่ยวได้ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้มาใช้บริการ เช่น เส้นทางคมนาคม ห้องน้ำ ที่พัก ร้านอาหาร เป็นต้น

          จากกระแสตอบรับการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปีนี้สถานที่จากทั่วประเทศสมัครขอรับการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย ประจำปี 2566 จำนวน 26 แห่ง ผ่านการพิจารณาจำนวนทั้งสิ้น 18 แห่ง จึงขอแสดงความยินดีกับทุกแห่งที่ผ่านการคัดเลือก และได้รัการขึ้นทะเบียนในปีนี้  หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้ฯ จะช่วยกระตุ้นให้พื้นที่ และชุมชนใกล้เคียง รวมถึงในอีกหลายแห่งทั่วประเทศไทยเกิดความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด และร่วมกันสงวนรักษาความมืดของท้องฟ้าเวลายามค่ำคืนให้เหมาะกับการเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ และเชิงดาราศาสตร์ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากมลภาวะทางแสงที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงลดการสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย

       ซึ่งในอนาคต สดร. ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ สำหรับเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แกอุทยานท้องฟ้ามืด ชุมชนอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล และเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ชานเมือง สถานที่ที่ขึ้นทะเบียนแต่ละประเภทจะต้องมีความมืดของท้องฟ้าที่เหมาะสม มีการบริหารจัดการแสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากแสงรบกวน มีพื้นที่เปิดโล่งสังเกตท้องฟ้าได้โดยรอบ มองเห็นดาวเหนือ และวัตถุท้องฟ้าเด่นๆ ได้ด้วยตาเปล่า มีบุคลากรในพื้นที่ที่สามารถให้ความรู้ทางดาราศาสตร์เบื้องต้นแก่นักท่องเที่ยวได้ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้มาใช้บริการ เช่น เส้นทางคมนาคม ห้องน้ำ ที่พัก ร้านอาหาร เป็นต้น

          ทั้งนี้ ผลการขึ้นทะเบียนเขนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย ปี 2566 ภายใต้โครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 18 แห่ง ประกอบด้วย 

- อุทยานท้องฟ้ามืด (Dark Sky Park) จำนวน5 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (ลานชมดาว) จ.กำแพงเพชร, อุทยานแห่งชาติตาพระยา (ลานกลางเต้นท์กลางดง) จ. สระแก้ว, อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ. นครราชสีมา, อุทยา0นแห่งชาติศรีน่าน (ดอยเสมอดาว) จ. น่าน และวนอุทยานน้ำตกผาหลวง จ. อุบลราชธานี

- เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล (Dark Sky Properties) จำนวน 11 แห่ง  ได้แก่  มีลา การ์เดน รีทรีท คอทเทจรีสอร์ท จ. สระบุรี , คีรีมาลา อีโค่ แคมป์ จ. ราชบุรี, ฟาร์มแสงสุข จ. ระยอง, ไร่เขาน้อยสุวณา จ. นครราชสีมา, ต้นข้าวหอมบ้านอ้อมดอย จ. เชียงใหม่, วิลลา เดอ วิว บูทีค รีสอร์ท เชียงดาว จ. เชียงใหม่, เชียงดาวฟาร์มสเตย์ จ. เชียงใหม่, บ้านสวน ป่าโป่งดอย จ. เชียงใหม่, เดอะ ทีค รีสอร์ท จ. เชียงใหม่, พูโตะ จ. เชียงใหม่ และ อ่าวโต๊ะหลี จ. พังงา

- เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ชานเมือง (Dark Sky Suburbs) จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สวนสัตว์ขอนแก่น จ. ขอนแก่น และ ซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ เชียงใหม่ จ. เชียงใหม่

นักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติม และสมัครเพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทยได้ที่ https://darksky.narit.or.th/ หรือดาวน์โหลดหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวดูดาว “ชวนเธอ 

ไปชมดาว” ในรูปแบบ e-book ได้ที่ https://citly.me/81xbd

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

งาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING วันที่ 23-27 สิงหาคม 2566 ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น

การรวมตัวของเหล่า avengers จังหวัดขอนแก่น ที่จะมารังสรรค์มื้อพิเศษของคุณ

ในสไตล์ Casual Fine Dining 

ในงาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING 

วันที่ 23-27 สิงหาคม 2566 ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น

         การรวมตัวของเหล่า avengers จังหวัดขอนแก่น อย่าง เชฟจิ๊บ/เชฟไพศาล จากร้านแก่น Neo Isan Casual Fine Dining พ่อสวาท อุปฮาด ปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญเกษตรกรอินทรีย์ และการหมักดองพื้นบ้าน เจ้าของแบรนด์ “คูน” อำเภอน้ำพอง CHUPOT: ศิลปิน craft แนว Nerikomi นำเสนองานออกแบบภาชนะ พิมพ์เผาขึ้นรูปที่มีความเป็นอีสานมีการใช้ลายผ้าขาวม้าในการออกแบบภาชนะ สำหรับอีเวนท์พิเศษ วงดนตรีอีสานแนวใหม่ภายใต้ชื่อ  “หมาเก้าหาง” I•S•A•N  P•O•W•E•R  นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของ Isan Gastronomy ที่ดึงเอา elements ความเป็นอีสานต่างๆ มาไว้ที่งาน Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING วันที่ 23-27 สิงหาคม 2566 ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น 

        ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรม Thailand Soft Power : ISAN FOOD TASTING 

1. แชร์โพส กิจกรรม Isan Food Tasting บน Facebook Page “เที่ยวอีสาน.com” พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากมาทานมื้อสุดพิเศษนี้กับเรา พร้อมติด #อีสานไปไสกะแซ่บ

2. แคปหน้าจอโพสต์ของคุณ มาคอมเมนต์ลงใต้โพสต์กิจกรรมบน Facebook page ของ เที่ยวอีสาน.com https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02iyv8uaCyadKgD3ZTpTwg6w8MaPYXJtvqiefooV4vYFYssiAoJh6hHztbF4TXJiL4l&id=100057172071683&mibextid=DcJ9fc

3. เหตุผลใครโดนใจกรรมการมากที่สุด ได้รับสิทธิ์เป็น 1 ในผู้โชคดีที่ได้สัมผัสประสบการณ์มื้ออาหารสุด Exclusive ณ ร้านแก่น จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 23 – 27 สิงหาคม 2566

ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม  – 15 สิงหาคม 2566 นี้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tourismthailand.org/thailandsoftpower

#Thailandsoftpower

#อีสานไปไสกะแซ่บ

#IsanFoodTasting

#ขอนแก่น

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"      ERGO แบรนด์ประกันภัยชั้นนำจากเยอรมัน...