วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้

มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ และมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 

พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

        มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้จังหวัดเชียงราย จำนวน 25 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 587,380 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยมี นายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย และนางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี พระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค ติสฺสวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง ให้ความอนุเคราะห์สถานที่จัดงานและร่วมในพิธี และ คณะมูลนิธิสาธารณกุศลสงเคราะห์เชียงราย เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสัญญา วงพรนารายณ์ (เก่ง) นายสดใส โรจนวิชัย ร่วมในพิธี เมื่อวันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

          นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวเชียงรายในครั้งนี้ทั้งสิ้น 616,980 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นหกพันเก้าร้อยแปดสิบบาทถ้วน) โดยมีประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  อีกทั้ง มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ณ บริเวณห้องประชุมอาคารพบโชคคอมเพล็กซ์ วัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

       นับตั้งแต่เกิดมหาอุทกภัยขึ้น มูลนิธิฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที หลังจากนั้น ทีมสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท โดยเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ฟื้นฟูหลังน้ำลดแก่ผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือรวมงบประมาณกว่า 9 ล้านบาท

       โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมาได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด จำนวน  485 ครัวเรือน รวมดำเนินการไปแล้ว 3 ภาค รวม 54 จังหวัด  813 ครัวเรือน รวมงบประมาณกว่า 15.6 ล้านบาท

         ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดต่อสอบถาม และติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สามารถดูรายละเอียดช่องทางที่สะดวกได้ที่ https://linktr.ee/pohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน



วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงนามบันทึกความเข้าใจ ยกระดับ MOU กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงนามบันทึกความเข้าใจ ยกระดับ MOU กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 

ร่วมให้ความรู้ พร้อมหนุนงบประมาณด้านการฝึกอบรม และทีมบรรเทาสาธารณภัย อุปกรณ์ เครือข่ายการสื่อสาร รวมทั้งเตรียมพร้อมปฏิบัติการ บูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถในระดับสากล


      มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ ในนามของผู้แทนประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วย นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการอันเป็นการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับขอบเขตหน้าที่ของมูลนิธิฯ  อาทิ การร่วมกับทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านการฝึกอบรมให้ความรู้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมสนับสนุนงบประมาณเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อรองรับการฝึกอบรม โดยมี นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เป็นผู้กล่าววัตถุประสงค์ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการ และผู้บริหารของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รวมทั้งผู้บริหารของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ร่วมในพิธี เณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568


        นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ เปิดเผยว่า ในนามของมูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง หรือ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งในความร่วมมืออันทรงคุณค่ายิ่ง ระหว่างมูลนิธิฯ กับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน  ตลอดระยะเวลา 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ดำเนินงานภายใต้ปณิธาน  “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”  โดยยึดมั่นในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที โดยไม่เลือกชนชั้น เชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา ความร่วมมือในวันนี้จึงไม่เป็นเพียงพันธสัญญาเชิงรูปธรรม แต่ คือการสานต่อเจตนารมณ์ของมูลนิธิฯ ด้วยการยกระดับการบูรณาการภารกิจด้านบรรเทาสาธารณภัยไปสู่การช่วยเหลือระดับประเทศร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  เพื่อพี่น้องประชาชนและสังคมส่วนรวม ซึ่งเชื่อมั่นว่า จะส่งผลต่อความรวดเร็ว ที่มีประสิทธิผล และความปลอดภัยในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของทั้งสองฝ่าย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ด้านสาธารณะอันสูงสุด


       นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ คือการยืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือกันในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งยินดีที่จะสนับสนุนและร่วมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยตามที่ได้รับแจ้งจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และในขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็ยินดีที่จะสนับสนุนองค์ความรู้ด้านวิชาการสาธารณภัย เพื่อเสริมสมรรถนะของเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตามบันทึกความเข้าใจนี้ ซึ่งถือเป็นการให้บริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของผู้ประสบภัยและทางราชการร่วมกัน โดยขอบเขตหน้าที่ของมูลนิธิฯ ดิฉันได้กล่าวมาข้างต้นว่าฉบับนี้จะเป็นการยกระดับความร่วมมือ คือ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ด้านการฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสนับสนุนบุคลากร พร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย

       สำหรับความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้มีการประสานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งใน “ด้านสังคมสงเคราะห์” มีแผนกสาธารณภัย ประสานเพื่อเยียวยาผู้ประสบสาธารณภัยต่าง หรือ “ด้านบรรเทาสาธารณภัย”  ซึ่งมูลนิธิฯ มีบุคลากรทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร นำกำลังพร้อมอุปกรณ์ด้าน กู้ชีพ กู้ภัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยและได้มีการประสานงานกับปภ.ในพื้นที่ และยังมี “แผนกฝึกอบรม” ประสานจัดการ “ด้านการฝึกอบรม” เพื่อจัดอบรม เพิ่ม และพัฒนาองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครซึ่งได้มีการประสานงานกันเรื่อยมาจวบจนปี พ.ศ. 2564 มูลนิธิฯ ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อการบูรณาการการดำเนินงานด้านบรรเทาสาธารณภัยอย่างเป็นทางการครั้งแรก และได้มีการผนึกกำลังพัฒนาบุคลากรมูลนิธิฯ เรื่อยมา อาทิ หลักสูตรการกู้ภัยเบื้องต้น (BRC)  หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการสำหรับเจ้าหน้าที่เผชิญเหตุ หลักสูตรการกู้ภัยในกระแสน้ำไหลเชี่ยวเบื้องต้น (Basic Swiftwater Rescue) และหลักสูตรการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง ( USAR ) เป็นต้น


        ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา ทีมบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ไม่เพียงแต่ร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบเหตุ ประสบภัยต่างๆ เท่านั้น แต่ยังร่วมกับหน่วยงานระดับประเทศในด้านต่างๆ ในการพัฒนาองค์ความรู้ให้ครอบคลุมทั้งด้านกู้ชีพ กู้ภัย และสนับสนุนงานด้านนิติเวช เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศล บรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิผลอย่างเป็นที่ประจักษ์ และร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ให้กับภาครัฐ เอกชน และประชาชน 

ติดต่อสอบถาม และติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สามารถดูรายละเอียดช่องทางที่สะดวกได้ที่ https://linktr.ee/pohtecktung

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สวพส. จัดการน้ำบนพื้นที่สูง เปลี่ยนชีวิตชุมชน สู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

สวพส. จัดการน้ำบนพื้นที่สูง เปลี่ยนชีวิตชุมชน สู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

     แม้ฤดูฝนปีนี้จะมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 5 - 10 (ข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา 13 พ.ค. 2568) แต่ใช่ว่าทุกพื้นที่จะได้ประโยชน์จากฝนที่ตกมากขึ้นโดยเฉพาะชุมชนบนพื้นที่สูง ที่บริบทพื้นที่ทำกินส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งยังคงต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นแหล่งน้ำหลัก ทั้งเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตร ชุมชนเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาฝนทิ้งช่วงและภัยแล้งซ้ำซาก ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศหรือสภาวะโลกเดือด

      สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำขนาดเล็กมาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำให้เพียงพอในช่วงหน้าแล้ง ไม่เพียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่ยังมุ่งสร้างระบบจัดการน้ำที่ยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมไปถึงการฟื้นฟูดูแลรักษาป่ารอบๆ แหล่งน้ำ

       ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรกว่า 24,000 ราย ในพื้นที่สูง 458 แห่งทั่วประเทศ ได้รับประโยชน์โดยตรง เข้าถึงแหล่งน้ำที่พัฒนาแล้ว 930 แห่ง มีระบบกระจายน้ำ 412 กิโลเมตร ทั้งแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ไม่เพียงแค่มีน้ำใช้ตลอดปี แต่ยังสามารถเพิ่มรายได้กว่า 447 ล้านบาท ในปี 2567 จากผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พืชผัก ไม้ผล หรือกาแฟคุณภาพสูง

       การมีแหล่งน้ำที่เพียงพอยังช่วยให้เกษตรกรปรับตัวสู่ระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ลดความเสียหายจากภัยแล้งและรักษาคุณภาพของผลผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันเกษตรกรเริ่มหันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแต่มูลค่าสูง โดยไม่จำเป็นต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกหรือบุกรุกพื้นที่ป่าแต่อย่างใด ผลที่ตามมาอย่างเป็นรูปธรรม คือ พื้นที่ป่าต้นน้ำได้รับการฟื้นฟูกลับคืนกว่า 526,000 ไร่ จากการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นพื้นที่ปลูกไม้ผลและไม้เศรษฐกิจที่หลากหลายถึง 58 ชนิด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการจัดการของชุมชนในพื้นที่

        การจัดการแหล่งน้ำยังมีส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน จากการติดตามจุดความร้อนในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง (ม.ค. - พ.ค. 2568) พบว่า จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงถึง 57.21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมากกว่า 68% ของกลุ่มบ้านที่เข้าร่วมโครงการไม่พบจุดความร้อนเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

        ในปีงบประมาณ 2568 สวพส. ยังคงเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จโดยขยายโครงการไปยัง 49 ชุมชน ครอบคลุมอีก 127 แห่ง พร้อมระบบกระจายน้ำที่เพิ่มขึ้นเกือบ 20 กิโลเมตร มีผู้ได้รับประโยชน์เพิ่มอีก 460 ราย ครอบคลุมพื้นที่เกษตรรวมกว่า 5,120 ไร่ และการดูแลป่าต้นน้ำอีก 13,000 ไร่

       นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวว่า การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่ใช่แค่การรับมือภัยแล้ง แต่คือการสร้างโอกาสให้ชุมชนมีน้ำใช้ มีอาหาร มีรายได้ และมีชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น เป้าหมายของเราคือแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่สูงอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในชุมชนที่ยังต้องพึ่งพาน้ำฝน ทั้งเพื่อการดำรงชีวิตและการเกษตร เมื่อชุมชนมีแหล่งน้ำเพียงพอ ก็สามารถพัฒนาระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้อย่างยั่งยืน และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของชาวบ้านและทุกภาคส่วน เพราะเราเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากชุมชน 


CP LAND ปักหมุด “กังสดาล” ส่ง SOū& (โซ–แอนด์) และ RI–NÉ (รี–เน่)

CP LAND ปักหมุด “กังสดาล”  ส่ง  SOū& (โซ–แอนด์) และ RI–NÉ (รี–เน่) 

ทำเลศักยภาพใกล้ ม.ขอนแก่น – ศูนย์แพทย์ฯ คอนโดฯ ใหม่ 

ตอบโจทย์ทั้งอยู่จริงและลงทุน

      บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย เดินหน้าปักหมุดโครงการคอนโดมิเนียมน้องใหม่ใจกลางเมืองขอนแก่น SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) และ RI–NÉ Khon Kaen (รี–เน่ ขอนแก่น) บนทำเลศักยภาพย่านกังสดาล ทำเลที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสูงในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตที่สุดของทำเลที่อยู่อาศัยซึ่งมาพร้อมโอกาสการลงทุนที่มั่นคง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ การค้า และการบริการ ด้วยทำเลที่เชื่อมโยงความสะดวกสบาย ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่นและโรงพยาบาลศรีนครินทร์ 

       นาย ดำรงศักดิ์ ถุงเงิน ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานธุรกิจที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ขอนแก่นถือเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทั้งการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟความเร็วสูง และสนามบินนานาชาติที่ขยายศักยภาพเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) และ RI–NÉ Khon Kaen (รี–เน่ ขอนแก่น) จึงได้รับการออกแบบให้เป็นทั้งศูนย์กลางการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบและโอกาสการลงทุนที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวโดยหลังจากเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการ CP LAND สามารถปิดการขายเฟสแรกของทั้งสองโครงการ SOū& Khon Kaen และ RI–NÉ Khon Kaen ได้เป็นที่เรียบร้อย ด้วยยอดขายรวมกว่า 650 ล้านบาท จำนวน 300 ยูนิต สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสาน พร้อมเดินหน้าขยายสู่เฟสที่ 2 ต่อไป

       โครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใกล้ศูนย์กลางเศรษฐกิจและแหล่งไลฟ์สไตล์ ของขอนแก่น รายล้อมด้วยสถานที่สำคัญ อาทิ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ สนามบินขอนแก่น และ เส้นทางรถไฟความเร็วสูง ที่กำลังพัฒนา นอกจากนี้ ขอนแก่นยังเตรียมเปิดตัว ศูนย์การแพทย์ระดับสากล ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานการรักษาพยาบาล และเพิ่มศักยภาพให้เมืองกลายเป็น Medical Hub แห่งใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยหนุนมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงการ SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) และ RI–NÉ Khon Kaen (รี–เน่ ขอนแก่น เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในทำเลที่มีอนาคต พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ

        นาย นิธิศ สุดเกษม ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มงานธุรกิจที่อยู่อาศัย กล่าวต่อว่า โครงการที่อยู่อาศัยทั้งสองแห่งในจังหวัดขอนแก่น ถูกออกแบบด้วยแนวคิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับดีไซน์และฟังก์ชันที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) คือโครงการที่สะท้อนตัวตนของ young affluent หรือ คนรุ่นใหม่ที่มีรสนิยม ทันสมัย และใส่ใจในคุณภาพชีวิต ผ่านดีไซน์ที่สนุกสนาน แฝงความโมเดิร์น พร้อมรายละเอียดการออกแบบที่คิดมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน หรือบรรยากาศของโครงการที่มอบความเป็นส่วนตัวและสไตล์ที่แตกต่างอย่างมีรสนิยม ขณะที่ RI-NÉ Khon Kaen (รี-เน่ ขอนแก่น) เน้นเจาะกลุ่มตลาดระดับพรีเมียม ด้วยการออกแบบที่เรียบหรูและร่วมสมัยในทุกรายละเอียด ตั้งแต่วัสดุคุณภาพสูง ไปจนถึงการจัดวางพื้นที่ที่ตอบสนองการอยู่อาศัยในระดับสูงสุด โดยเราให้ความสำคัญกับทุกมิติของการออกแบบ เพื่อให้โครงการนี้ตอบโจทย์กลุ่มคนเมืองที่ต้องการความสงบ ความสะดวกสบาย และความหรูหราในชีวิตประจำวัน และ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุด CP LAND มุ่งมั่นให้บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Welcome Home Club by CP LAND พร้อมรับประกันนานถึง 10 ปี* เพื่อให้ลูกค้าของเรามั่นใจในคุณภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของ CP LAND ที่มุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการที่มี คุณภาพเพื่อทุกชีวิต

สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง โทร: 02-088-0999

เว็บไซต์: www.cplandproperty.com

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด ขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนเเปลงโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า

เกี่ยวกับโครงการ SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) และ RI-NÉ Khon Kaen (รี-เน่ ขอนแก่น)

         SOū& Khon Kaen (โซ–แอนด์ ขอนแก่น) คอนโดมิเนียม Low–Rise 8 ชั้น จำนวน 337 ยูนิต สำหรับคนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “Play Unbound, Live Inspired” สนุกอย่างไร้ขีดจำกัด สู่แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ผสานความโมเดิร์นและไลฟ์สไตล์ที่อิสระ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลา อาทิ Co-Working Space, Lobby Lounge, ที่นั่งพักผ่อน Semi-outdoor, Swimming Pool, Gym, Garden, Sky Garden, EV Charger, Retail Space และ พื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทั้งการเรียน การเล่น และการพักผ่อน เริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท*

          RI-NÉ Khon Kaen (รี-เน่ ขอนแก่น) คอนโดมิเนียม High–Rise 31 ชั้น จำนวน 767 ยูนิต ในระดับ Luxury ภายใต้คอนเซปต์ “Craft Your Finest Life” ความเรียบง่ายที่สมบูรณ์แบบ โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและแนวคิดที่สะท้อนความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย เน้นความสงบและผ่อนคลาย แต่ยังคงมอบความสะดวกสบายเหนือระดับ มาพร้อม Double Sky Facility ส่วนกลางลอยฟ้า 2 ชั้น และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Sunset Lounge ที่มาพร้อมวิวเมืองแบบพาโนรามา, Swimming Pool (Olympic Size ยาวถึง 51 เมตร), Fitness, Wellness Room, Sauna, Gameroom, Twilight Terrace, BBQ Yard, Party Zone, Sunset Garden, Grand Garden, Kids Yard, Business Club, Lobby Lounge, EV Charger ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ต้องการพื้นที่พักผ่อนที่เหนือกว่าที่อยู่อาศัย เริ่มต้นเพียง 2.39 ล้านบาท*

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.cplandproperty.com/project_category/condominium/

#CPLAND #ซีพีแลนด์ #CPLANDคุณภาพทุกชีวิต #คุณภาพเพื่อทุกชีวิต #AccessibleCommunitiesforLife #CPLANDProperty #SOū& #RI-NÉ #โซแอนด์ #รีเน่ #CPLAND10YearsWarranty #คอนโดใหม่ใจกลางขอนแก่น #คอนโดขอนแก่น #คอนโดย่านกังสดาล #ซีพีแลนด์รับประกัน10ปี 



ททท. ยกระดับท่องเที่ยวไทย ปั้นโมเดลใหม่สู่การท่องเที่ยวยั่งยืน กับเส้นทางธรรมชาติ Eco Trail @ TAT ECO PARK

ททท. ยกระดับท่องเที่ยวไทย ปั้นโมเดลใหม่สู่การท่องเที่ยวยั่งยืน  กับเส้นทางธรรมชาติ Eco Trail @ TAT ECO PARK       การท่องเที่ยวในยุคใหม่ ไม่...